วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

จากรูปด้านล่างแกน x  ตัดกับแกน ทำให้แบ่งระนาบออกเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วนเรียกว่า จตุภาค
จตุภาคที่1  มีค่าเป็นจำนวนที่มีค่าเป็นบวก   y  มีค่าเป็นจำนวนที่มีค่าเป็นบวก
จตุภาคที่2  มีค่าเป็นจำนวนที่มีค่าเป็นลบ      y  มีค่าเป็นจำนวนที่มีค่าเป็นบวก
จตุภาคที่3    มีค่าเป็นจำนวนที่มีค่าเป็นลบ     y        มีค่าเป็นจำนวนที่มีค่าเป็น
จตุภาคที่4  มีค่าเป็นจำนวนที่มีค่าเป็นบวก     y      ค่าเป็นจำนวนที่มีค่าเป็นลบ

               

        
               ตัวอย่างที่1  กราฟของ (2,4) เป็นจุดที่ได้จากการลากเส้นตรงที่ตั้งฉากกับแกน Xที่ตำแหน่งของ 2 ไปตัดกับเส้นตรงที่ลากไปตัดกับเส้นตรงของแกน Y ที่ตำแหน่ง 4 ดังภาพ


            ตัวอย่างที่ 2   จงเขียนจุดต่อไปนี้บนระนาบ
                                                                
                                        A(0,0)     
   B(4,4)   
 
   C(2.5,6)  
 
   D(0,-5)   
 
   E(5,-2)   
 
   F(-2,5)  
 
   G(-5,0)  
 
   H(-7,-3.5)

                        

                                   วิธีทำ   เขียนจุดที่กำหนดให้บนระนาบได้ดังนี้

                        
                    

                ตัวอย่างที่3   จงเขียนพิกัดจากกราฟต่อไปนี้

                                    จากกราฟของคู่อันดับข้างต้นสามารถเขียนพิกัดได้ดังนี้
                                                ตำแหน่งของจุด จุด มีพิกัดเป็น(2,3)                         ตำแหน่งของจุด จุด มีพิกัดเป็น(3,4)  

                                                ตำแหน่งของจุด จุด มีพิกัดเป็น(-1,1)                        ตำแหน่งของจุด จุด มีพิกัดเป็น(-4,2)
                                                ตำแหน่งของจุด จุด มีพิกัดเป็น(-2,-3)                       ตำแหน่งของจุด จุดมีพิกัดเป็น(1,-4)  
                                                ตำแหน่งของจุด จุด มีพิกัดเป็น(3,-2)    
  
     
          
                  
        ที่มา :
            สสวท.(มปป.) หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์เล่ม2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อเดือนเมษายน
                      11,2558 : จากเว็บไซต์  http://www.scimath.org/ebook/math/m1-2/student/.
            MyFirstBrian.com. คู่อันดับและกราฟ. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อเดือนเมษายน  11,2558 : จากเว็บไซต์            
                      http://www.myfirstbrain.com/student2_4.aspxpage=2&PageSize=20&BrowseSub3&BrowseSub4&txtSearch

การปัดเศษ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การปัดเศษ หรือ การปัดเลข หมายถึงการลดทอนเลขนัยสำคัญของจำนวนจำนวนหนึ่ง ผลที่ได้จากการปัดเศษจะได้จำนวนที่มีตัวเลขอื่นที่ไม่ใช่ศูนย์ลดน้อยลง และทำให้ความแม่นยำลดลง แต่สามารถนำไปใช้ต่อได้สะดวกยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น 73 สามารถปัดเศษในหลักสิบได้ใกล้เคียงที่สุดเป็น 70 เพราะว่า 73 มีค่าใกล้เคียง 70 มากกว่า 80 อย่างไรก็ตามกฎเกณฑ์ในการปัดเศษอาจมีวิธีแตกต่างกันออกไป

วิธีทั่วไป[แก้]

วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไปในทางคณิตศาสตร์ เป็นหนึ่งในวิธีที่สอนในชั้นเรียนประถมศึกษา อาจเรียกว่าเป็น การปัดเศษเลขคณิตแบบสมมาตร (symmetric arithmetic rounding) หรือ การปัดเศษโดยครึ่งหนึ่งให้ปัดขึ้น (round-half-up) มีหลักการดังนี้
  • เลือกหลักตัวเลขที่จะพิจารณาปัดเศษ
  • ตัวเลขถัดไป (ทางขวา) ถ้าเท่ากับหรือมากกว่า 5 ให้เพิ่มค่าตัวเลขที่เลือกขึ้นไป 1 (ปัดขึ้น)
  • หรือตัวเลขถัดไปถ้าน้อยกว่า 5 ให้คงตัวเลขนั้นไว้ (ปัดลงหรือปัดทิ้ง)
ตัวอย่าง
  • 3.044 ปัดเศษในทศนิยมตำแหน่งที่สองจะได้ 3.04 (เพราะตัวเลขถัดไปคือ 4 น้อยกว่า 5)
  • 3.045 ปัดเศษในทศนิยมตำแหน่งที่สองจะได้ 3.05 (เพราะตัวเลขถัดไปคือ 5 เท่ากับหรือมากกว่า 5)
  • 3.0447 ปัดเศษในทศนิยมตำแหน่งที่สองจะได้ 3.04 (เพราะตัวเลขถัดไปคือ 4 น้อยกว่า 5)
สำหรับจำนวนลบ การปัดเศษให้ทำกับค่าสัมบูรณ์ของจำนวนนั้นก่อนแล้วจึงใส่เครื่องหมายลบกลับเข้าไป
ตัวอย่าง
  • −2.1349 ปัดเศษในทศนิยมตำแหน่งที่สองจะได้ −2.13
  • −2.1350 ปัดเศษในทศนิยมตำแหน่งที่สองจะได้ −2.14
  • −0.2 ปัดเศษในหลักหน่วยจะได้ 0
  • −0.5 ปัดเศษในหลักหน่วยจะได้ −1
  • −0.8 ปัดเศษในหลักหน่วยจะได้ −1
สำหรับ การปัดเศษเลขคณิตแบบอสมมาตร (asymmetric arithmetic rounding) แตกต่างจากแบบแรกเพียงเล็กน้อย กฎเกณฑ์การปัดเศษในจำนวนบวกจะเหมือนกัน แต่ในกรณีที่เป็นจำนวนลบ การปัดเศษจะเป็นไปตามความมากน้อยที่เป็นจริง ซึ่งเมื่อตัวเลขที่พิจารณาเท่ากับ 5 แล้วตามด้วย 0 ทั้งหมด จะเป็นการปัดไปยังจำนวนที่มากกว่าแทน
ตัวอย่าง
  • −2.1349 ปัดเศษในทศนิยมตำแหน่งที่สองจะได้ −2.13
  • −2.1350 ปัดเศษในทศนิยมตำแหน่งที่สองจะได้ −2.13
  • −0.2 ปัดเศษในหลักหน่วยจะได้ 0
  • −0.5 ปัดเศษในหลักหน่วยจะได้ 0
  • −0.8 ปัดเศษในหลักหน่วยจะได้ −1

วิธีการปัดเศษเลขคู่[แก้]

วิธีการนี้มีชื่อเรียกหลายอย่างเช่น unbiased rounding, convergent rounding, statistician's rounding, Dutch rounding, Gaussian rounding, bankers' rounding แต่สามารถเรียกรวมกันได้ว่าเป็น การปัดเศษเลขคู่ (round-to-even) มีหลักการดังนี้
  • เลือกหลักตัวเลขที่จะพิจารณาปัดเศษ
  • ตัวเลขถัดไปถ้ามากกว่า 5 ให้ปัดขึ้น
  • หรือตัวเลขถัดไปถ้าน้อยกว่า 5 ให้ปัดลง
  • หรือตัวเลขถัดไปถ้าเท่ากับ 5 ให้พิจารณาตัวเลขต่อไป
    • ถ้าตัวเลขถัดไปไม่ใช่ 0 ทั้งหมด ให้ปัดขึ้น
    • ถ้าตัวเลขถัดไปเป็น 0 ทั้งหมด (หรือไม่มีแล้ว) ให้ดูตัวเลขที่อยู่ก่อนหน้า 5 หากเป็นเลขคี่ให้ปัดขึ้น หรือหากเป็นเลขคู่ให้ปัดลง
ตัวอย่าง
  • 3.016 ปัดเศษในทศนิยมตำแหน่งที่สองจะได้ 3.02 (เพราะตัวเลขถัดไปคือ 6 มากกว่า 5)
  • 3.013 ปัดเศษในทศนิยมตำแหน่งที่สองจะได้ 3.01 (เพราะตัวเลขถัดไปคือ 3 น้อยกว่า 5)
  • 3.015 ปัดเศษในทศนิยมตำแหน่งที่สองจะได้ 3.02 (เพราะตัวเลขถัดไปคือ 5 และตัวเลขก่อนหน้านั้นคือ 1 เป็นเลขคี่)
  • 3.045 ปัดเศษในทศนิยมตำแหน่งที่สองจะได้ 3.04 (เพราะตัวเลขถัดไปคือ 5 และตัวเลขก่อนหน้านั้นคือ 4 เป็นเลขคู่)
  • 3.04501 ปัดเศษในทศนิยมตำแหน่งที่สองจะได้ 3.05 (เพราะตัวเลขถัดไปคือ 5 และตัวเลขถัดไปไม่ใช่ 0 ทั้งหมด)
ส่วน การปัดเศษเลขคี่ (round-to-odd) คล้ายกับการปัดเศษเลขคู่ แต่ต่างกันที่เงื่อนไขสุดท้าย นั่นคือหากเป็นเลขคี่ให้ปัดลง หรือหากเป็นเลขคู่ให้ปัดขึ้น

วิธีการอื่น[แก้]

วิธีการปัดเศษแบบอื่นๆ นั้นก็ยังคงมีอยู่ การใช้วิธีการเหล่านี้ในคอมพิวเตอร์และเครื่องคิดเลขเนื่องด้วยเหตุผลสองประการ คือเพื่อความเร็วในการคำนวณและการใช้ประโยชน์ในขั้นตอนวิธีบางอย่าง อาทิการปัดลงทั้งหมด (ฟังก์ชันพื้น) หรือการปัดขึ้นทั้งหมด (ฟังก์ชันเพดาน) ให้เป็นจำนวนเต็มที่ใกล้เคียง ภาษาโปรแกรมต่างๆ มีฟังก์ชันการปัดเศษที่หลากหลายตามแต่ละวิธีที่ให้ไว้ แต่ฟังก์ชันชื่อเดียวกันในภาษาหนึ่งอาจใช้คนละวิธีการกับอีกภาษาหนึ่ง บางภาษาก็สามารถกำหนดได้เลยว่าจะเลือกใช้วิธีการปัดเศษแบบใด
ส่วนในทางสถิติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ การใช้วิธีการอื่นนั้นเพื่อลดความเอนเอียงและความคลาดเคลื่อนสะสมของการปัดเศษ (การปัดเศษเลขคู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น) เช่นวิธีการ Stochastic rounding เมื่อพบค่ากึ่งกลางจำนวนเต็มเหมือนกันสองจำนวน (เช่น 3.5) จำนวนหนึ่งจะถูกปัดขึ้นด้วยความน่าจะเป็น 0.5 และอีกจำนวนหนึ่งจะถูกปัดลงด้วยความน่าจะเป็น 0.5 เช่นกัน ซึ่งวิธีการนี้จะทำงานแบบสุ่ม ดังนั้นเมื่อข้อมูลเดียวกันคำนวณการปัดเศษสองครั้งอาจให้ผลต่างกัน


 ความสัมพันธ์ระหว่างทศนิยมและเศษส่วน 

                การเขียนเศษส่วนให้อยู่นรูปทศนิยมและการเขียนทศนิยม ให้อยู่ในรูปเศษส่วนนั้น สามารถใช้หลักการเขียน ดังนี้

                    1. การเขียนเศษส่วนให้อยู่ในรูปทศนิยม แบ่งได้เป็น 2 กรณีดงันี้

                              1.1 กรณีที่เศษส่วนมีตัวส่วนเป็น 10 หรือ 100 หรือ 1000 หรือ ... จะได้ค่าของเศษเป็นทศนิยม และมีจำนวนตำแหน่งของ
                ทศนิยมเท่ากับจำนวนเลขศูนย์ของตัวส่วนโดยเศษส่วนที่เป็นบวกจะได้ทศนิยมที่เป็นบวกและเศษส่วนที่เป็นลบ จะไดท้ศนิยมที่เป็นลบ เช่น
                                            

    
                             1.2 กรณีที่เศษส่วนมีตัวส่วนไม่เป็น 10 หรือ 100 หรือ 1000 หรือ ... จะมีวิธีการเขียน 2 วิธี ดังนี้

                                    1.2.1 โดยการทำตัวส่วนให้เป็น 10 หรือ 100 หรือ 1000 หรือ ... โดยนำจำนวนมาคูณ หรือ หารทั้งตัวเศษและตัวส่วนของ
                            เศษส่วนจำนวนนั้นแล้วดำเนินการหลักการเดียวกับข้อ 1.1 เช่น
                       
                                   1.2.2 โดยการนำตัวส่วนไปหารตัวเศษโดยเศษส่วนที่เป็นบวกจะได้ทศนิยมที่เป็นบวกและเศษส่วนที่เป็นลบจะได้
                             ทศนิยมที่เป็นลบ เช่




                        ทศนิยมที่มีลักษณะดังเช่นในข้อ 1 ถึงข้อ 10 ข้างต้น เรียกว่า ทศนิยมซ้ำ 

                        สำหรับทศนิยม เช่น 0.2 ถือว่าเป็นทศนิยมซ้ำ เช่นเดียวกัน เรียกว่า ทศนิยมซ้ำศูนย์ เพราะ 
0.2 = 0.2000... „ 0.20 
                  แต่ไม่นิยมเขียนกันจึงเขียนสั้น ๆ เพียง 0.2 
                        ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า “เศษส่วนทุกจานวนไม่ว่าจะเป็นจำนวนบวกหรือลบ สามารถเขียนให้ อยู่ในรูปทศนิยมซ้ำได้” 
                        
                         เศษส่วนทุกจำนวนที่มีตัวเศษเป็นจำนวนเต็มและตัวส่วนเป็นจำนวนเต็มที่ไม่เท่ากับศูนย์ สามารถเขียนเป็นทศนิยมซ้ำได้ เช่น
                       
                                                        0.82000... เป็นทศนิยมซ้ำ   ศูนย์    เขียนแทนด้วย    0.82    อ่านว่า     ศูนย์จุดแปดสอง 

                                                        0.666...     เป็นทศนิยมซ้ำ   หก      เขียนแทนด้วย    0.6      อ่านว่า     ศูนย์จุดหก หกซ้ำ
                                                        -0.7272...   เป็นทศนิยมซ้ำ    เจ็ดสอง เขียนแทนด้วย -0.72     อ่านว่า     ลบศูนย์จุดเจ็ดสอง เจ็ดสองซ้ำ 

                                                          0.3181818...  เป็นทศนิยมซ้ำ หนึ่งแปด เขียนแทนด้วย 0.318  อ่านว่า    ศูนย์จุดสามหนึ่งแปดหนึ่ง แปดซ้ำ 


                                                          0.254254254... เป็นทศนิยมซ้ำ สองห้าสี่ เขียนแทนด้วย 0.254 อ่านว่า   ศูนย์จุดสองห้าสี่ สองห้าสี่ซ้ำ

   


            2. การเขียนทศนิยมให้อยู่ในรูปเศษส่วน การเขียนทศนิยมซ้ำ ให้อยู่ในรูปเศษส่วน ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ในที่นี้จะพิจารณาเฉพาะการเขียนทศนิยมซ้ำ ศูนย์ให้อยู่ ในรูปเศษส่วน ซึ่งมีหลักการ ดังนี้

                        2.1 ให้นำตัวเลขหลังจุดทศนิยมทั้งหมดมาเขียนเป็นเศษส่วน 

                        2.2 แล้วเขียนตัวส่วนด้วย 10 หรือ 100 หรือ 1000 หรือ ... ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนตำแหน่งของทศนิยมที่กา หนดมาให้ โดยตัวส่วนจะมี       
เลข 0   เท่ากับจำนวนตา แหน่งของทศนิยมนั้น ๆ และถ้าทศนิยมนั้นมีจำนวนเต็มอยู่หน้าจุดทศนิยม ก็ให้เขียนจำนวนเต็มนั้นไว้หน้าเศษส่วนด้วย โดยทศนิยมที่      เป็นบวกจะได้เศษส่วนที่บวก และทศนิยมที่เป็นลบ จะได้เศษส่วนที่เป็นลบ เช่น



วิดีโอ YouTube





วิดีโอ YouTube




https://sites.google.com/a/mail.pbru.ac.th/mathematics-highschool1/khnitsastr-m-1-lem-2/bth-thi-1-thsniym-laea/reuxng-khwam-samphanth-rahwang-thsniym-laea-sesswn/baeb-fukhad                                 https://sites.google.com/a/mail.pbru.ac.th/mathematics-highschool1/khnitsastr-m-1-lem-2/bth-thi-1-thsniym-laea/reuxng-khwam-samphanth-rahwang-thsniym-laea-sesswn/baeb-thdsxb      





สูตรการหาพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัส

                                สูตรการหาพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัส
                                          สูตร การหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส = ด้าน x ด้าน
สูตรการหาพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัส
                        ตัวอย่าง หาพื้นที่ของสี่เหลี่ยม ABCD ซึ่งยาว 3 เซนติเมตร
                                       = ด้าน x ด้าน
                                       = 3 x 3
                                       = 9 ตารางเซนติเมตร
                                       =====

สูตรการหาพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า


                                        สูตร การหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า = กว้าง x ยาว
สูตรการหาพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า
                          ตัวอย่าง หาพื้นที่สี่เหลี่ยม PQRS ซึ่งยาว 5 เซนติเมตร กว้าง 3 เซนติเมตร
                                        = กว้าง x ยาว
                                        = 3 x 5
                                        = 15 ตารางเซนติเมตร
                                        =====

                                            สูตรการหาพื้นที่สามเหลี่ยม


                                       สูตร การหาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม= 1/2 x ฐาน x สูง        
                    ตัวอย่าง การหาพื้นที่สามเหลี่ยม
สูตรการหาพื้นที่สามเหลี่ยม
                                       =====

     สูตรการหาพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านขนาน


                                   สูตร การหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน = ฐาน x สูง หรือ
                                   = 1/2 x ความยาวเส้นทแยงมุม x ผลบวกเส้นกิ่ง

หาพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านขนาน
                 ตัวอย่าง  หาพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านขนานซึ่งยาว 6 เซนติเมตร สูง 4 เซนติเมตร
                                = ฐาน x สูง
                                = 6 x 4
                                = 24 ตารางเซนติเมตร
                            หรือ หาพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านขนานมีเส้นทแยงมุมยาว 12 เซนติเมตรและความยาวเส้น
                            กิ่งยาว 2 เซนติเมตรและ 2 เซนติเมตร
                                = 1/2x ความยาวเส้นทแยงมุม x ผลบวกเส้นกิ่ง
                                = 1/2x 12 x ( 2+2 )
                                = 24 ตารางเซนติเมตร
                                =====

                                                                สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน


                                  สูตร การหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน = ฐาน x สูง หรือ
                                  = 1/2x ผลคูณของเส้นทแยงมุม
สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน
                                ตัวอย่าง หาพื้นที่สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนซึ่งยาวด้านละ 5 เซนติเมตร สูง 3 เซนติเมตร
                                               = ฐาน x สูง
                                               = 5 x 3
                                               = 15 ตารางเซนติเมตร
                         หรือ หาพื้นที่สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนซึ่งมีเส้นทแยงมุมยาว 5 เซนติเมตรและ 6 เซนติเมตร
                                               = 1/2x ผลคูณของเส้นทแยงมุม
                                               =1/2 x 5 x 6
                                               = 15 ตารางเซนติเมตร
                                               =====

                                                                        สี่เหลี่ยมรูปว่าว


                                      สูตร การหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมรูปว่าว =1/2 x ผลคูณของเส้นทแยงมุม
สี่เหลี่ยมรูปว่าว
                                          ตัวอย่าง หาพื้นที่สี่เหลี่ยมรูปว่าว ซึ่งมีเส้นทแยงมุมยาว 4 และ 6 เซนติเมตร
                                                         = 1/2x ผลคูณของเส้นทแยงมุม

                                                         =1/2 x 4 x 6
                                                         = 12 ตารางเซนติเมตร
                                                         =====

    สี่เหลี่ยมคางหมู

สูตร การหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมคางหมู
   = 1/2x สูง x ผลบวกของความยาวของด้านคู่ขนาน
สี่เหลี่ยมคางหมู
                                ตัวอย่าง หาพื้นที่สี่เหลี่ยมคางหมูมีด้านคู่ขนานยาว 4 และ 5 เซนติเมตร สูง 4 เซนติเมตร
                                                 =1/2 x สูง x ผลบวกของความยาวของด้านคู่ขนาน
                                                 = 1/2x 4 x (4 + 5)
                                                 = 18 ตารางเซนติเมตร
                                                 =====

สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า


                                                     สูตร การหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า
                                         = 1/2x ความยาวของเส้นทแยงมุม x ผลบวกความยาวเส้นกิ่ง
สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า
                            ตัวอย่าง หาพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่าซึ่งมีเส้นทแยงมุมยาว 12 เซนติเมตร เส้นกิ่ง
           ยาว 3 เซนติเมตรและ 4 เซนติเมตร
                                          = 1/2x ความยาวของเส้นทแยงมุม x ผลบวกความยาวเส้นกิ่ง
                                          = 1/2x 12 x ( 3+4 )
                                          = 42 ตารางเซนติเมตร
                                          =====

สูตรการหาพื้นที่วงกลม

สูตรหาพื้นที่วงกลม    =    p r²
สูตรการหาพื้นที่วงกลม
                                        ตัวอย่าง   วงกลมวงหนึ่ง มีรัศมียาว 7 เมตร มีพื้นที่กี่ตารางเมตร
                                                         พื้นที่วงกลม  =      p r²
                                                          =      22/7 x 7 x 7
                                                          =      154   ตารางเมตร
                                                         ตอบ    ๑๕๔    ตารางเมตร
                                        *พายมีค่าเท่ากับ 22/7 หรือ 3.14
                                                         =====

สูตรการหาปริมาตรทรงลูกบาศก์


สูตรการหาปริมาตรทรงลูกบาศก์    = ด้าน3
สูตรการหาปริมาตรทรงลูกบาศก์
=====

         สูตรการหาปริมาตรทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก

                                                    
                                                                สูตร  = กว้าง x ยาว x สูง
                  
                 ตัวอย่าง
สูตรการหาปริมาตรทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก
=====

สูตรการหาปริมาตรทรงกลม


สูตร = 4/3 x พาย x รัศมี3
                   ตัวอย่าง
สูตรการหาปริมาตรทรงกลม
                             *พายมีค่าเท่ากับ 22/7 หรือ 3.14
                                                                               =====

สูตรการหาปริมาตรทรงกระบอก


                                                             สูตร   =  พาย x รัศมีx สูง
สูตรการหาปริมาตรทรงกระบอก
                     
                                        ตัวอย่าง
สูตรการหาปริมาตรทรงกระบอก
*พายมีค่าเท่ากับ 22/7 หรือ 3.14
======

สูตรการหาปริมาตรทรงกรวย

                                                          
                                                             1/3 x พาย x รัศมี2 x สูง
สูตรการหาปริมาตรทรงกรวย
*พายมีค่าเท่ากับ 22/7 หรือ 3.14
=====

สูตรการหาปริมาตรปริซึม


                  ปริซึม คือ ทรงสามมิติที่มีฐานทั้งสองเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่เท่ากันทุกประการ ฐานทั้งคู่อยู่ในระนาบที่ขนานกัน และด้านข้างแต่ละด้านเป็น
                  สูตร พื้นที่ผิวของปริซึม = พื้นที่ผิวข้าง + พื้นที่ผิวหน้าตัด
                           ปริมาตรปริซึม = พื้นที่ฐาน x สูง
สูตรการหาปริมาตรปริซึม


แหล่งที่มา http://goo.gl/1gtWHF